ตำรวจรู้ได้อย่างไรใครเป็นเจ้าของปลอกกระสุนปืน มีคำตอบ!!

ตำรวจรู้ได้อย่างไรใครเป็นเจ้าของปลอกกระสุนปืน

สถานการณ์ชายแดนใต้จากการก่อเหตุของคนร้ายหรือกลุ่ม ผกร. การเก็บวัตถุพยานและหลักฐานในที่เกิดเหตุถือว่ามีความสำคัญ หลายคนอาจจะตั้งข้อสงสัย!! ว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่จึงให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าว หลังเกิดเหตุมีการกั้นไม่ให้ผู้ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุจนกว่าจะมีการเก็บรวบรวมพยานวัตถุเสร็จสิ้นอีกตั้งอาจจะสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุไปทำไม? โดยเฉพาะปลอกกระสุนซึ่งจะมีการนำไปตรวจตามกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์

หลายครั้งกลุ่มผู้คิดต่างได้มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าเจ้าหน้าที่มั่ว ขอบอกเลยว่าข้อมูลการพิสูจน์หลักฐาน ไขข้อข้องใจของใครหลายคนได้หูตาสว่าง เนื่องจากในปัจจุบันมีการนำนิติวิทยาศาสตร์ที่มีความแม่นยำในการพิสูจน์หลักฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจปลอกกระสุน เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบทันทีเลยว่ากระสุนดังกล่าวยิงมาจากปืนกระบอกไหน หรือเป็นของใคร เคยก่อคดีมาแล้วกี่ครั้ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้มีการรวบรวมไว้ในสารบบ

กระบวนการดังกล่าวทราบได้โดยการตรวจรอยขีดข่วนของปลอกกระสุน กับวิเคราะห์เกลียวลูกปืน เรียกกันว่า Bullet Inspection โดยจะทำการวิเคราะห์เกลียวลำกล้อง ว่าหัวกระสุนมีรอยขีดข่วนรูปแบบใด ซึ่งจะไม่ซ้ำกันในปืนแต่ละกระบอกแล้วแต่การผลิตปืนกระบอกนั้น

โดยจะการวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ เทียบกับ database ที่มีอยู่และจะทราบได้ว่ายิงมาจากปืนกระบอกใด การตรวจสอบนี้ จะต้องนำอาวุธปืนต้องสงสัยมาตรวจเกลียวลำกล้องด้วยอุปกรณ์ Barrel Micro-optic ซึ่งจะวิเคราะห์เบ็ดเสร็จออกมาเป็น matching ว่ากี่ % แล้วตำรวจก็จะตรวจสอบด้วยตาตนเองอีกครั้ง

ขั้นตอนต่อไปก็วิเคราะห์รอยขีดข่วนที่ปลอกกระสุน และจานท้ายกระสุนว่ามี pattern แบบใด มีการเจาะที่ center fire หรือ rim fire อย่างไร โดยเทียบกับ database เช่นกันครับ

ปืนทุกกระบอกในโลกมีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวมันเอง เมื่อกระสุนวิ่งผ่านลำกล้อง ลักษณะที่ไม่เรียบภายในลำกล้องจะทิ้งร่องรอยเป็นแถบกว้าง เป็นรอยขีดข่วนบ้างไว้ที่ลูกกระสุน ขึ้นอยู่กับลวดลายภายในลำกล้องว่าเป็นอย่างไร ร่องรอยเหล่านี้สามารถบ่งชี้ปืนแต่ละกระบอกได้อย่างแม่นยำ เหมือนกับรอยนิ้วมือที่ใช้ชี้ตัวผู้กระทำผิดมานักต่อนักนั่นเอง คนธรรมดาอาจจะมองรอยขีดข่วนดังกล่าวนี้ด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านขีปนวิธี หากใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูก็จะยิ่งมองเห็นร่องรอยเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน

การที่ปืนแต่ละกระบอกมีลวดลายในลำกล้องที่แตกต่างกันสิ้นเชิงเหล่านี้ เกิดจากกระบวนการผลิตสามขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งแต่ละขั้นตอน จะทิ้งร่องรอยแปลกๆ ไว้ เมื่อรวมกันกลายเป็นลายเซ็นที่ลำกล้องปืนลงนามไว้บนลูกกระสุนแต่ละนัดขณะยิงออกมา

ขั้นตอนที่ 1 คือการเจาะลำกล้องปืนซึ่งทำโดยการเจาะเหล็กรูปทรงกระบอกให้กลวงด้วยสว่านหัวเพชร ซึ่งจะทิ้งร่องรอยเล็กๆ รูปวงแหวนเอาไว้ รอยบางส่วนมักถูกลบออกในขั้นตอนสุดท้าย

ขั้นตอนที่ 2 เครื่องมือเหล็กกล้าคล้ายสิ่ว ทำหน้าที่คว้านให้เกิดรูปเกลียวภายในกระบอกปืน ร่องเกลียวนี้เป็นรางนำกระสุนให้หมุนเป็นเกลียวออกสู่อากาศ ช่วยให้วิถีกระสุนตรงและแม่นยำ เมื่อใช้เครื่องมือชนิดนี้กับปืนกระบอกหนึ่ง เครื่องมือจะทื่อลง จึงต้องลับใหม่ให้คมทุกครั้ง ก่อนนำไปใช้กับปืนกระบอกใหม่ ดังนั้น ความกว้างของร่องและรอยที่เกิดจากเครื่องมือชนิดนี้ในปืนแต่ละกระบอก จึงไม่เคยเหมือนกัน

ขั้นตอนที่ 3 การขัดเงาเพื่อขจัดความขรุขละของขอบร่องและขัดภายในลำกล้องปืนให้เป็นทรงกระบอกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การขัดเงาก็จะทิ้งร่องรอยขีดข่วนที่ไม่เหมือนกันไว้ภายในลำกล้องเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของการใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้มีความทันสมัย และเชื่อถือได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยดังต่างๆ ได้เปิดหลักสูตรเฉพาะขึ้นมารองรับมีการเรียนการสอนควบคู่การฝึกปฏิบัติ ศูนย์พิสูจน์หลักฐานของรัฐหลายแห่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ที่สำคัญผลการตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ทางนิติวิทยาศาสตร์ศาลให้การยอมรับใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการฟ้องดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดได้อีกด้วย

————————————–

ขอบคุณข้อมูลจาก : ข่าวด่วน ข่าวเด่น สถานการณ์ชายแดนใต้

แหล่งข้อมูล : www.gunsth.com

กลับสู่หน้าหลัก : สนามกีฬายิงปืนหาดใหญ่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *